วันศุกร์, 28 พฤศจิกายน 2568

ทุ่ม 100 ล้าน “กรีนแคปปิตอล” เปิดตัว “EV Greenbus” VS “Fair Super Charge”

กรีนแคปปิตอล เปิดตัว รถโดยสารไฟฟ้า “EV Greenbus” ลงทุนเพิ่มกว่า 100 ล้านบาท ได้ EV เสริมเส้นทางภาคเหนือ 12 คัน พร้อมสร้าง สถานีชาร์ทรถไฟฟ้า “Fair Super Charge” มี 6 หัวชาร์ท ให้บริการรถ EV ทั่วไปเข้าชาร์ทได้ด้วย กางแผนอีก 5 ปี เส้นทางภาคเหนือตอนบน เปลี่ยนเป็น EV ทั้ง 80 คัน “เปลี่ยนวิธีคิด” ระบบขนส่งสาธารณะที่ดี ไม่เพียง สะดวก ปลอดภัย ตรงเวลา ต้อง “เคารพสิ่งแวดล้อม” และ “คืนอากาศบริสุทธิ์ให้ชุมชน” ภายใต้แนวคิด “ESG – โลกสะอาด”

วันที่ 28 พ.ย. 2568 บริเวณสถานีชาร์ทรถไฟฟ้า “Fair Super Charge” สำนักงานกรีนบัสจังหวัดเชียงใหม่ นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานเปิดตัวรถโดยสารไฟฟ้า “EV Greenbus” และ สถานีชาร์ทรถไฟฟ้า “Fair Super Charge” โดยมี นายกฤษฏิภาชย์ ทองคำคูณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรีนแคปปิตอล จำกัด พร้อมด้วยพนักงานกรีนบัสให้การต้อนรับ ในงานยังมี นายมานพ พุทธวงค์ ขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ ให้เกียรติร่วมแสดงความยินดีและร่วมการเปิดตัวฯ

นายกฤษฏิภาชย์ ทองคำคูณ นามเดิม “สมชาย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรีนแคปปิตอล จำกัด กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่ผมและทีมงานกรีนแคปปิตอลรู้สึกภาคภูมิใจที่สุดวันหนึ่งในประวัติศาสตร์ของบริษัท เพราะเรากำลังเปิดตัว “รถโดยสารไฟฟ้า EV Greenbus” เป็นรถโดยสารไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ชุดแรกในภาคเหนือ จำนวน 12 คัน ซึ่งจะให้บริการในเส้นทาง เชียงใหม่–เชียงราย และ เชียงใหม่–พะเยา โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนรถโดยสารจากน้ำมันดีเซลมาเป็นไฟฟ้า แต่คือการ “เปลี่ยนวิธีคิด” ของระบบขนส่งสาธารณะ เราเชื่อว่าการเดินทางที่ดีไม่เพียงต้องสะดวก ปลอดภัย และตรงเวลา แต่ยังต้อง “เคารพสิ่งแวดล้อม” และ “คืนอากาศบริสุทธิ์ให้ชุมชน” ภายใต้แนวคิด “ESG – โลกสะอาด” ที่เราให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ชุมชน และการบริหารจัดการที่โปร่งใส

“ในส่วนของการลงทุน กรีนแคปปิตอลได้เดินหน้าโครงการรถโดยสารไฟฟ้า EV Greenbus อย่างเต็มรูปแบบ จำนวน 12 คัน ด้วยมูลค่าการลงทุนสูงเกือบ 100 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการลงทุนระยะยาว เพื่อเปลี่ยนผ่านระบบขนส่งสู่พลังงานสะอาด อย่างแท้จริง นอกจากนี้ เรายังได้ลงทุนก่อสร้างสถานี Fair Super Charge พร้อมติดตั้งแท่นชาร์จไฟฟ้าจำนวน 6 หัว เพื่อรองรับการเติบโต ของยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ไม่เพียงสำหรับรถ EV Greenbus เท่านั้น แต่ยังเปิดให้ผู้ใช้รถ EV ทั่วไปสามารถเข้ามาชาร์จได้อย่างรวดเร็ว สะดวก และปลอดภัย ทั้ง 2 โครงการนี้ไม่ใช่เพียงการลงทุนด้านยานยนต์ แต่คือ “การลงทุนเพื่ออนาคต” ถือเป็นการวางรากฐานให้จังหวัดเชียงใหม่ เป็นศูนย์กลางด้านพลังงานสะอาดของภาคเหนือ และเป็นอีกก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนระบบขนส่งสาธารณะสู่ความยั่งยืน” นายกฤษฏิภาชย์ ทองคำคูณ กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรีนแคปปิตอล จำกัด กล่าวต่อว่า จากการคำนวณของทีมเทคนิค รถโดยสารไฟฟ้า 12 คัน ในเส้นทาง เชียงใหม่–เชียงราย และ เชียงใหม่-พะเยา สามารถให้บริการรวมระยะทางทั้งสิ้นกว่า 3 ล้านกิโลเมตรต่อปี ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำมันดีเซลได้ประมาณ 1 ล้านลิตรต่อปี ผลจากการเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้า ทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง ประมาณ 960 ตันต่อปี หรือคิดเป็นการลดคาร์บอนเฉลี่ย 56.7 กิโลกรัมต่อเที่ยวการเดินทาง (ระยะทาง 181 กิโลเมตรต่อเที่ยว) ซึ่งเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้เกือบ 9 หมื่นหกพันต้นต่อปี แม้ตัวเลขนี้อาจดูไม่มากเมื่อเทียบกับภาพรวมของประเทศ ทุกบาทที่เราลงทุน คือก้าวย่างที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และช่วยบรรเทาปัญหา PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อพี่น้องชาวภาคเหนือมายาวนาน เราหวังว่าการเริ่มต้นครั้งนี้จะเป็นจุดประกายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน และเป็นต้นแบบของระบบขนส่งสีเขียวที่เติบโตไปพร้อมกับชุมชนอย่างแท้จริง

“อีกหนึ่งสิ่งที่เราอยากให้ได้เห็นถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียด คือ แถบพลังงานบนโลโก้ Greenbus จากเดิมที่เป็นสีแดงใช้แทนพลังงานน้ำมัน วันนี้ได้เปลี่ยนเป็นแถบพลังงานสีฟ้าที่ใช้กับรถ EV Greenbus เพื่อสะท้อนการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของพลังงานไฟฟ้าอย่างแท้จริง เป็นสัญลักษณ์ที่บอกเล่าความตั้งใจของเราอย่างชัดเจน ว่าเราพร้อมดูแลสิ่งแวดล้อมและจะพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น การลงทุนในครั้งนี้คือ การลงทุนระยะยาวที่ “คุ้มค่า” ที่สุด เพราะ ทุกกิโลเมตรที่รถ EV ของเราวิ่ง คือ กิโลเมตรที่ช่วยลดคาร์บอนจากโลกใบนี้ลง และเรามั่นใจว่า หากเรายังคงร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง ภาคเหนือของเราจะกลายเป็นภูมิภาคต้นแบบด้าน “คมนาคมสะอาด” ของประเทศไทย ได้อย่างแน่นอน” นายกฤษฏิภาชย์ ทองคำคูณ กล่าว

ในอนาคต กรีนบัสมีแผนจะขยายการให้บริการรถ EV เพิ่มขึ้น พร้อมขยายสถานีชาร์ทรถไฟฟ้า Fair Super Charge ไปยังจังหวัดสำคัญอื่นในภาคเหนือ เช่น เชียงราย เพื่อให้ระบบขนส่งพลังงานสะอาดนี้ครอบคลุมและเชื่อมโยงทุกพื้นที่ และเราจะได้เห็นภาพของ “การเดินทาง สีเขียว” ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะจะมี Greenpark Community Mall Chiang Rai ซึ่งเป็นโปรเจคที่ 2 ภายใต้การบริหารของบริษัท คำพรพัฒนา จำกัด บริษัทในเครือฯ ด้วยแนวคิด Green & Sustainable Community คอนเซปต์คอมมูนิตี้มอลล์เพื่อความยั่งยืน ที่ผสานพลังงานสะอาด กับความอบอุ่นของชุมชน กรีนพาร์คเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงจุดหมายปลายทางของการช้อปปิ้งหรือพักผ่อน แต่เป็นสัญลักษณ์ของการ เปลี่ยนผ่าน สู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจาก Solar Rooftop เป็นต้น ณ ปัจจุบัน กรีนพาร์คเชียงราย อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะเปิดให้บริการเฟสแรกในเดือนมกราคม 2569 นี้ โดยจะมีร้านค้าดังมาเปิดให้บริการ ไม่ว่าจะเป็น KFC, Watsons และ สุกี้ตี๋น้อย สาขาแรกของเชียงราย รวมถึง Mr. DIY, One to two Coffee ที่จะทยอยเปิดภายในกลางปี 2569 อีกด้วย รวมถึงยังมีจุด Drop off รถโดยสาร Greenbus ด้านหน้าโครงการ Greenpark เชียงราย พร้อมต้อนรับและเป็น Destination ของผู้โดยสารและนักท่องเที่ยว ที่เดินทางสู่จังหวัดเชียงรายแบบครบวงจร

นายกฤษฏิภาชย์ ทองคำคูณ ยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ครั้งนี้เป็นการลงทุนระยะ 10 ถึง 20 ปี โดยวางแผนไว้ว่าการเดินรถในภาคเหนือ ที่มีระยะทางไม่เกิน 450 กิโลเมตร สามารถที่จะใช้รถ EV ได้ อีกด้านสามารถที่จะลดการปลดปล่อยของเสีย หรือสิ่งที่เป็นมลภาวะทางอากาศได้ ประชาชนส่วนใหญ่เขาต้องการเทคโนโลยีใหม่ๆ แล้วก็มีความสุขสบาย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป้าหมายสัดส่วนรถ EV คิดว่าเป็นกลุ่มในรถภาคเหนือ เพราะว่ารถภาคเหนือสามารถที่จะใช้งานได้ แต่ถ้าเป็นรถข้ามภาคแล้ว เทคโนโลยีทางด้านการชาร์จหรือการเปลี่ยนแบตเตอรี่ระหว่างทางยังไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าเกิดในอนาคตอาจจะมีเป็นรถที่ใช้เหมือนกับกลุ่มไฮบริด หรือเป็นกลุ่มที่ใช้เครื่องยนต์ไปปั่นไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่

“ขณะนี้ Greenbus ใช้รถในฟีดให้บริการกับประชาชนอยู่ประมาณ 100 คัน ตอนนี้เรามี 12 คัน ก็ประมาณ 12% คิดว่าในปีหน้าถ้าเกิดเราได้รับการสนับสนุนจากธนาคารพาณิชย์ เราก็จะลงทุนเพิ่มขึ้น คาดว่าในปีหน้าอาจจะเป็นรถไซส์ รถบัสขนาดกลาง กับรถบัสขนาดใหญ่ รวมๆ แล้วอาจจะเพิ่มอีกประมาณ 25 คัน สำหรับงบลงทุน โดยปกติแล้วรถคันหนึ่ง อย่างรถ EV ที่เห็นนี้ จะตกคันนึงประมาณ 7 ล้านบาท แต่เราลงทุนแค่รถไม่ได้ เราต้องลงทุนเครื่องชาร์จด้วย ตอนนี้เรามีรถอยู่ประมาณ 100 คัน ในเส้นทางที่เราให้บริการประมาณ 10 กว่าเส้นทาง เป็นรถข้ามภาคอยู่ประมาณ 20 คัน ที่เหลืออีก 80 คัน เป็นรถที่อยู่ในภาคเหนือตอนบน รถกลุ่มนี้เราแพลนไว้ว่า ปีนี้เราลงทุน 12 คัน ปีหน้าอีก 25 คัน และในปี 70 ซึ่งเป็นปีที่เราหวังว่าจะได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ ถ้าเราเข้าเราก็จะมีการระดมทุนเพื่อที่จะเปลี่ยนฟีดรถจากดีเซลเป็น EV ต่อไป โดยทยอยเปลี่ยนในแต่ละปีครับ ถ้าเป็นภาคเหนือจะเป็น EV ทั้งหมด 100% อาจจะต้องใช้เวลา 5 ปี คือไม่เกิน 5 ปี ที่จะเปลี่ยนฟีดภาคเหนือจำนวน 80 คัน ให้เป็น EV” นายกฤษฏิภาชย์ ทองคำคูณ