กระทรวงวัฒนธรรม ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมและกองเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ประสานความร่วมมือกับมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ด้วยการส่งเสริมค่านิยมการไม่สูบบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า และการสร้างพื้นที่ปลอดบุหรี่ในมิติของวัฒนธรรม โดยเฉพาะในเทศกาลสำคัญของไทย เช่น ประเพณีลอยกระทง ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า ที่สะท้อนความกตัญญู ความงดงามของวิถีไทย และความห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมแบบ Green Tourism ที่มุ่งสร้างบรรยากาศงานเทศกาลที่ปลอดภัย สะอาด และเป็นมิตรกับทุกคน
นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กล่าวว่า กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) พร้อมให้ความร่วมมือกับมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สื่อและข้อมูลรณรงค์ให้เยาวชน และประชาชน ตระหนักถึงโทษของบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า ผ่านกิจกรรมทางวัฒนธรรม สื่อสร้างสรรค์ และเครือข่ายวัฒนธรรมทั่วประเทศ เพื่อปลูกฝังค่านิยมการไม่สูบบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้าให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างยั่งยืน อันจะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของเทศกาลวัฒนธรรมไทยให้มีมาตรฐานปลอดบุหรี่ และเป็นต้นแบบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ใส่ใจสุขภาพในระดับอาเซียนต่อไป
“ทั้งนี้ เพื่อให้การรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่เกิดผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจน รวดเร็ว และกว้างขวางครอบคลุม ทุกกลุ่มเป้าหมาย ที่ประชุมเห็นควรมีการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ ด้วย เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร เป็นต้น” นางยุถิกา กล่าว
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวถึง การประชุมเมืองปลอดบุหรี่ ครั้งที่ 9 Seatca’s 9th Asia Pacific Smoke-free Meeting ‘Destination smoke-free: Transforming Tourism Across Asia Pacific’ จัดโดย กระทรวงสาธารณสุขเวียดนาม กองทุนควบคุมยาสูบเวียดนาม และมูลนิธิเพื่อสังคมอาเซียนปลอดบุหรี่ (SEATCA) เมื่อวันที่ 28-29 สิงหาคม 2568 ณ เมืองเว้ ประเทศเวียดนาม มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 160 คน จากกลุ่มประเทศอาเซียน มีเป้าหมายสนับสนุนให้แหล่งท่องเที่ยวในประเทศต่างๆ เป็นแหล่งท่องเที่ยวปลอดบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า เพื่อยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยว สอดคล้องกับแนวคิดการท่องเที่ยวแบบ Green tourism ที่ให้ความสำคัญผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม รวมไปถึงด้านสุขภาพ อันจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้งนักท่องเที่ยว ชุมชน และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
“โดยในงานประชุมดังกล่าว ประเทศไทยซึ่งมีตัวแทนภาคีเครือข่ายควบคุมยาสูบเข้าร่วม ได้เสนอที่ประชุม จะผลักดันให้เกิดการส่งเสริมค่านิยมงานเทศกาล งานบุญประเพณีต่างๆ ของประเทศไทย ปลอดบุหรี่/ บุหรี่ไฟฟ้า เริ่มที่งานลอยกระทง ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศไทย รวมถึง มหกรรมกีฬาของอาเซียน ซีเกมส์ปลอดบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้” ศ.นพ.ประกิต กล่าว
ศ.พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า ควันบุหรี่มือสองเป็นภัยใกล้ตัวที่เป็นปัญหาใหญ่เพราะปัจจุบันมีคนไทยที่ไม่ได้สูบบุหรี่มากถึง 34 ล้านคน แต่ได้รับควันบุหรี่มือสอง จากข้อมูลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 6 (พ.ศ. 2562) พบคนไทยถึง 70% ได้รับควันบุหรี่มือสอง ขณะที่การสำรวจของอังกฤษ คนอังกฤษได้รับผลกระทบจากควันบุหรี่มือสองเพียง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับอีก 57 ประเทศ พบว่าผู้หญิงไทยอายุ 15-49 ปี ได้รับควันบุหรี่มือสองสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง เพราะปัจจุบันมีหลักฐานงานวิจัยที่ยืนยันแล้วว่าการสูดควันบุหรี่มือสองเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้หญิงถึง 1.24 เท่า โดยความเสี่ยงจะเพิ่มตามปริมาณและระยะเวลาที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง ซึ่งมะเร็งเต้านมก็เป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับหนึ่งของผู้หญิงไทย
“นอกจากนี้เด็กก็เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากควันบุหรี่มือสองมากกว่าผู้ใหญ่ ในประเทศไทยพบเด็กอายุ 1-5 ปี ที่อยู่อาศัยในบ้านที่มีคนสูบบุหรี่สูงถึง 55% โดยในกรุงเทพฯ พบมากที่สุด (62%) งานวิจัยโครงการบ้านปลอดบุหรี่ พบว่า เด็กในบ้านที่มีคนสูบบุหรี่จะป่วยด้วยอาการหอบหืดฉุกเฉินต้องเข้าห้องฉุกเฉินสูงถึง 67% และต้องนอนโรงพยาบาล ถึง 32% สูงกว่าของเด็กที่ไม่มีคนสูบบุหรี่ในบ้าน นอกจากนี้มีงานวิจัยเส้นผมของเด็กในบ้านที่มีคนสูบบุหรี่พบว่ามีปริมาณสารนิโคตินสูงกว่าค่ามาตรฐาน รวมทั้งพบว่ามีสารสื่อประสาท (GABA) ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาของสมองสูงขึ้นด้วย ทั้งนี้จากรายงานภาระโรคจากปัจจัยเสี่ยง (Burden of Disease, BOD) ของประชากรไทย ปี 2562 พบว่าคนไทยเสียชีวิตจากควันบุหรี่มือสองสูงถึง 20,688 รายต่อปี โดยเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองมากที่สุด (44%) รองลงมาคือ โรคหัวใจขาดเลือด (20%) มะเร็งปอดและหลอดลม (9%) ส่วนต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ของบุหรี่มือสอง สูงถึง 7,017 ล้านบาท (ร้อยละ 7 ของทั้งหมด) ดังนั้น การงดสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในที่สาธารณะที่มีคนมากๆ ที่มาร่วมประเพณีลอยกระทง จะเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมทางอากาศ สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม และที่สำคัญคือความรับผิดชอบต่อสังคมในการปกป้องผู้ไม่สูบบุหรี่โดยเฉพาะเด็กและสตรี แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดคือเลิกสูบบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้าเลย เพื่อสุขภาพของตัวท่านเองด้วย” ศ.พญ.สุวรรณา กล่าว




